ชื่อเรื่องวิจัย การพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย
ชื่อผู้วิจัย นางสาวปวีณา อุ่นบางหลวง
บทคัดย่อ
รายงานการศึกษาและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียนชั้นอนุบาล 2/2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึก 2) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (กิจกรรมในวงกลม) 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( ) โดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นำเสนอด้วยตารางประกอบคำบรรยาย
สรุปผลการวิจัย
1. แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึกมีลักษณะการบูรณาการทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่องการจัดประเภท การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจับคู่ และการนับกับสาระใน 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยสัตว์โลกน่ารัก หน่วยผักและผลไม้ หน่วยสิ่งของเครื่องใช้และหน่วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์
2. ผลการศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีประสิทธิเท่ากับ 84.88/85.37 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 แสดงว่านักเรียนมีพัฒนาการด้านความพร้อมทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นอันเป็นผลจากแบบฝึกเสริมประสบการณ์ที่สร้างขึ้น
3. การใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.24 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน และหลังการเรียนด้วยแบบฝึกนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 21.34 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน นำผลของคะแนนที่ได้ทั้งก่อนและหลังเรียนไปเปรียบเทียบกัน พบว่าคะแนนหลังเรียนของเด็กที่ได้ใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
บทคัดย่อ
ชื่อผลงาน รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ชื่อผู้รายงาน นางวิมลรัตน์ สงสุข
ชื่อหน่วยงาน โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีที่ทำรายงาน พ.ศ. 2552
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกที่สร้างขึ้น ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 41 คน จำแนกเป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 20 คนที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเมืองพัทยา9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 ชุดฝึก 2) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน ใช้เวลาในการสอน 15 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ประกอบด้วยแบบทดสอบทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนหลังการใช้แบบฝึก ผู้รายงานสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองเป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก อีก 2 ชั่วโมง รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design (หนึ่งกลุ่มสอบก่อนสอบหลัง) โดยผู้รายงานได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา มาดำเนินการวิเคราะห์โดยหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกตามเกณฑ์ 80/80 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test dependent และประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก โดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.46/82.26 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 แสดงว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
ชื่อผลงาน รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ชื่อผู้รายงาน นางวิมลรัตน์ สงสุข
ชื่อหน่วยงาน โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีที่ทำรายงาน พ.ศ. 2552
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกที่สร้างขึ้น ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 41 คน จำแนกเป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 20 คนที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเมืองพัทยา9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 ชุดฝึก 2) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน ใช้เวลาในการสอน 15 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ประกอบด้วยแบบทดสอบทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนหลังการใช้แบบฝึก ผู้รายงานสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองเป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก อีก 2 ชั่วโมง รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design (หนึ่งกลุ่มสอบก่อนสอบหลัง) โดยผู้รายงานได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา มาดำเนินการวิเคราะห์โดยหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกตามเกณฑ์ 80/80 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test dependent และประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก โดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.46/82.26 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 แสดงว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ
เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ผู้ศึกษา วิภา แดงศรี
ปีที่พิมพ์ 2551
แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) ศึกษาประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่องโจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้ศึกษาพัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากห้องเรียนที่ผู้ศึกษาทำการสอน 5 ห้อง มา 1 ห้อง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์”ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนที่ใช้ประกอบแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 25”ข้อ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 84.60/83.60
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7045 หรือคิดเป็น ร้อยละ 70.45
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)