ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ
ผู้รายงาน นางสาวนววรรณ โพธิศรี
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ (1) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ (2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 45 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้มาโดยการเจาะจงกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที
ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า ชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ ที่ผู้รายงานค้นคว้าสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 86.98 / 85.71 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์มาตรฐาน 80/80
ที่ตั้งไว้
นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ
มีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วย อาหารหลัก 5 หมู่และธงโภชนาการ มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทาง
ชื่อเรื่องวิจัย การพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย
ชื่อผู้วิจัย นางสาวปวีณา อุ่นบางหลวง
บทคัดย่อ
รายงานการศึกษาและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียนชั้นอนุบาล 2/2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึก 2) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (กิจกรรมในวงกลม) 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( ) โดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นำเสนอด้วยตารางประกอบคำบรรยาย
สรุปผลการวิจัย
1. แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึกมีลักษณะการบูรณาการทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่องการจัดประเภท การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจับคู่ และการนับกับสาระใน 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยสัตว์โลกน่ารัก หน่วยผักและผลไม้ หน่วยสิ่งของเครื่องใช้และหน่วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์
2. ผลการศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีประสิทธิเท่ากับ 84.88/85.37 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 แสดงว่านักเรียนมีพัฒนาการด้านความพร้อมทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นอันเป็นผลจากแบบฝึกเสริมประสบการณ์ที่สร้างขึ้น
3. การใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.24 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน และหลังการเรียนด้วยแบบฝึกนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 21.34 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน นำผลของคะแนนที่ได้ทั้งก่อนและหลังเรียนไปเปรียบเทียบกัน พบว่าคะแนนหลังเรียนของเด็กที่ได้ใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
ชื่อผู้วิจัย นางสาวปวีณา อุ่นบางหลวง
บทคัดย่อ
รายงานการศึกษาและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียนชั้นอนุบาล 2/2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึก 2) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (กิจกรรมในวงกลม) 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( ) โดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นำเสนอด้วยตารางประกอบคำบรรยาย
สรุปผลการวิจัย
1. แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์จำนวน 20 แบบฝึกมีลักษณะการบูรณาการทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่องการจัดประเภท การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจับคู่ และการนับกับสาระใน 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยสัตว์โลกน่ารัก หน่วยผักและผลไม้ หน่วยสิ่งของเครื่องใช้และหน่วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์
2. ผลการศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีประสิทธิเท่ากับ 84.88/85.37 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 แสดงว่านักเรียนมีพัฒนาการด้านความพร้อมทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นอันเป็นผลจากแบบฝึกเสริมประสบการณ์ที่สร้างขึ้น
3. การใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.24 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน และหลังการเรียนด้วยแบบฝึกนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 21.34 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน นำผลของคะแนนที่ได้ทั้งก่อนและหลังเรียนไปเปรียบเทียบกัน พบว่าคะแนนหลังเรียนของเด็กที่ได้ใช้แบบฝึกเสริมประสบการณ์สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
บทคัดย่อ
ชื่อผลงาน รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ชื่อผู้รายงาน นางวิมลรัตน์ สงสุข
ชื่อหน่วยงาน โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีที่ทำรายงาน พ.ศ. 2552
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกที่สร้างขึ้น ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 41 คน จำแนกเป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 20 คนที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเมืองพัทยา9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 ชุดฝึก 2) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน ใช้เวลาในการสอน 15 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ประกอบด้วยแบบทดสอบทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนหลังการใช้แบบฝึก ผู้รายงานสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองเป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก อีก 2 ชั่วโมง รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design (หนึ่งกลุ่มสอบก่อนสอบหลัง) โดยผู้รายงานได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา มาดำเนินการวิเคราะห์โดยหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกตามเกณฑ์ 80/80 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test dependent และประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก โดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.46/82.26 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 แสดงว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
ชื่อผลงาน รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ชื่อผู้รายงาน นางวิมลรัตน์ สงสุข
ชื่อหน่วยงาน โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีที่ทำรายงาน พ.ศ. 2552
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกที่สร้างขึ้น ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 41 คน จำแนกเป็นนักเรียนชาย 21 คน นักเรียนหญิง 20 คนที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเมืองพัทยา9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 ชุดฝึก 2) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน ใช้เวลาในการสอน 15 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ประกอบด้วยแบบทดสอบทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนหลังการใช้แบบฝึก ผู้รายงานสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองเป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก อีก 2 ชั่วโมง รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design (หนึ่งกลุ่มสอบก่อนสอบหลัง) โดยผู้รายงานได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษา มาดำเนินการวิเคราะห์โดยหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกตามเกณฑ์ 80/80 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test dependent และประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก โดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเรื่อง My town สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.46/82.26 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 แสดงว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ
เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ผู้ศึกษา วิภา แดงศรี
ปีที่พิมพ์ 2551
แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) ศึกษาประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่องโจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้ศึกษาพัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากห้องเรียนที่ผู้ศึกษาทำการสอน 5 ห้อง มา 1 ห้อง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์”ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนที่ใช้ประกอบแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 25”ข้อ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 84.60/83.60
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7045 หรือคิดเป็น ร้อยละ 70.45
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ เรื่อง โจทย์ปัญหาแสนสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับมาก
วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553
การพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ

บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผู้ศึกษา ขวัญจิต กาญจนยิ่งวิโรจน์
ปีที่พิมพ์ 2553
การพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ปีการศึกษา 2550 จำนวน 42 คน โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากห้องเรียนที่ผู้ศึกษาทำการสอน 6 ห้องมา 1 ห้อง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบฝึกทักษะทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประกอบด้วยกรอบการเรียนรู้จำนวน 5 ชุด แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ลักษณะของแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.75/86.35
2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.7236 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.36
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการสร้างภาพ ทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากที่สุด
รายงานการพัฒนาชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้

บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ชื่อผู้รายงาน จรรยา เลียบใย
ปีพิมพ์ 2551
การสร้างและการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพ E1/E2 และการหาค่าดัชนีประสิทธิผล E.I.
ผลการศึกษา พบว่า
1. ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 84.13/84.63 ตามเกณฑ์ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกทักษะ งานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.5527
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากที่สุด
ปีพิมพ์ 2551
การสร้างและการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพ E1/E2 และการหาค่าดัชนีประสิทธิผล E.I.
ผลการศึกษา พบว่า
1. ชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 84.13/84.63 ตามเกณฑ์ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกทักษะ งานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.5527
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะงานแกะสลักผัก-ผลไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากที่สุด
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552
หลากหลาย....เรียนรู้..... จากการดูงาน
ยุคแห่งการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่ 2 นี้นับว่า เป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้คณะครูของเรามีความกระตือรือร้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร กรพัฒนาวิชาชีพให้กับตนเองพร้อมทั้งมาตรฐานและคุณภาพของผู้เรียนนั้นสำคัญที่สุด
การศึกษาดูงานที่ผ่านมาฝ่ายวิชาการของโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมคณะครูให้มีความรู้ ค้นคว้าข้อมูลที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาผู้เรียนนำแบบอย่างที่บูรณาการกับบริบทของสถานศึกษาและความเป็นตัวตนของตนเองจัดกิจกรรมให้กับผู้เรียนนำมาซึ่งการพัฒนาสถานศึกษาโดยภาพรวมเช่นกัน
การศึกษาดูงานในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 จัดโดยโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) เป็นส่วนหนึ่งที่นำความรู้มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องของความพอเพียงและแนวคิดต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางคณะครูมีความอบอุ่นในการต้อนรับจากข้าราชการในสำนักพระราชวังและในโครงการอย่างดีมากเป็นที่ประทับใจของคณะครูเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เราได้นำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคือ
นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกิจกรรมบูรณาการในหน่วยการเรียนรู้ ตามหลักสูตรสถานศึกษาพุทธศักราช 2551 ของโรงเรียนในทุกกลุ่มสาระ

การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน 2552 (ร.ร.บ้านห้วยไร่สามัคคี/ร.ร.บ้านขาแหย่ง/ร.ร.อนุบาลแม่ฟ้าหลวง อ. แม่ฟ้าหลวง จ. เชียงใหม่)
คณะครูระดับปฐมวัยถือเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัย ทางโรงเรียนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีโอกาสนี้โดยหนังสือศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษาเมืองพัทยา ดูงานในโครงการพระราชดำริ ดอยตุง ในด้านการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมบูรณาการที่มีการกำหนดสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งการจัดทำแผนการจัดแบBackward Design และการจัดหลักสูตรสถานศึกษาตามความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่นอย่างชัดเจน ตามบริบทของดอยตุง โดยมีนักเรียนเป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างกลมกลืน พร้อมทั้งนักเรียนมีความรู้ความสามารถในด้านงานอาชีพสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมแสดงผลงานและนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้


การศึกษาดูงานของคณะผู้บริหารและคณะครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นับว่าเป็นความรู้และประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการศึกษาด้านความเป็นอยู่ศิลปวัฒนธรรมในแถบลุ่มแม่น้ำโขงที่ได้รับประสบการณ์ตรงสามารถนำมาปรับใช้ในการจัดกิจกรรมเช่น การแสดงและวิถีชีวิตที่จะเผยแพร่ให้กับเพื่อนครูและนักเรียนได้เป็นอย่างดี
นับว่าการศึกษาดูงานถ้ามองลึกถึงแก่นแท้ของวัตถุประสงค์แล้วอะไรเทียบเท่ากับการมีประสบการณ์ตรงนั้นคงไม่มีอีกแล้ว ผู้เขียนคิดว่าประสบการณ์คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะนำมาพัฒนาตนเองให้เกิดสิ่งที่ดีต่อสถานศึกษา ผู้เรียน เพราะฉะนั้นจึงฝากข้อคิดแด่เพื่อนครูทุกท่านว่าประสบการณ์จากการศึกษาดูงานที่เราได้รับโอกาสนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก....ขอขอบคุณสำนักการศึกษาเมืองพัทยาและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่เห็นความสำคัญและมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญและกำลังใจให้กับคุณครูของเรา



การศึกษาดูงานที่ผ่านมาฝ่ายวิชาการของโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมคณะครูให้มีความรู้ ค้นคว้าข้อมูลที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาผู้เรียนนำแบบอย่างที่บูรณาการกับบริบทของสถานศึกษาและความเป็นตัวตนของตนเองจัดกิจกรรมให้กับผู้เรียนนำมาซึ่งการพัฒนาสถานศึกษาโดยภาพรวมเช่นกัน
การศึกษาดูงานในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 จัดโดยโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) เป็นส่วนหนึ่งที่นำความรู้มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องของความพอเพียงและแนวคิดต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางคณะครูมีความอบอุ่นในการต้อนรับจากข้าราชการในสำนักพระราชวังและในโครงการอย่างดีมากเป็นที่ประทับใจของคณะครูเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เราได้นำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคือ
นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกิจกรรมบูรณาการในหน่วยการเรียนรู้ ตามหลักสูตรสถานศึกษาพุทธศักราช 2551 ของโรงเรียนในทุกกลุ่มสาระ
คณะครูระดับปฐมวัยถือเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัย ทางโรงเรียนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีโอกาสนี้โดยหนังสือศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษาเมืองพัทยา ดูงานในโครงการพระราชดำริ ดอยตุง ในด้านการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมบูรณาการที่มีการกำหนดสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งการจัดทำแผนการจัดแบBackward Design และการจัดหลักสูตรสถานศึกษาตามความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่นอย่างชัดเจน ตามบริบทของดอยตุง โดยมีนักเรียนเป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างกลมกลืน พร้อมทั้งนักเรียนมีความรู้ความสามารถในด้านงานอาชีพสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมแสดงผลงานและนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
การศึกษาดูงานของคณะผู้บริหารและคณะครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นับว่าเป็นความรู้และประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการศึกษาด้านความเป็นอยู่ศิลปวัฒนธรรมในแถบลุ่มแม่น้ำโขงที่ได้รับประสบการณ์ตรงสามารถนำมาปรับใช้ในการจัดกิจกรรมเช่น การแสดงและวิถีชีวิตที่จะเผยแพร่ให้กับเพื่อนครูและนักเรียนได้เป็นอย่างดี
นับว่าการศึกษาดูงานถ้ามองลึกถึงแก่นแท้ของวัตถุประสงค์แล้วอะไรเทียบเท่ากับการมีประสบการณ์ตรงนั้นคงไม่มีอีกแล้ว ผู้เขียนคิดว่าประสบการณ์คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะนำมาพัฒนาตนเองให้เกิดสิ่งที่ดีต่อสถานศึกษา ผู้เรียน เพราะฉะนั้นจึงฝากข้อคิดแด่เพื่อนครูทุกท่านว่าประสบการณ์จากการศึกษาดูงานที่เราได้รับโอกาสนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก....ขอขอบคุณสำนักการศึกษาเมืองพัทยาและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่เห็นความสำคัญและมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญและกำลังใจให้กับคุณครูของเรา
การศึกษาดูงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นครั้งที่ 2 เมืองทองธานี วันที่ 23 สิงหาคม 2552 คณะครูได้มีประสบการณ์เห็นความก้าวหน้าด้านผลงานและคุณภาพที่ได้มาตรฐานของผู้เรียนในหน่วยงานเดียวกันที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่งนำแนวทางมาพัฒนาตนเองและผู้เรียนให้ทันต่อการพัฒนาการศึกษาที่ก้าวไกลของหน่วยงานองค์กรปกครองท้องถิ่นของเราสิ่งที่น่าสนใจคือการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน ผลงานของผู้เรียน ความสามารถในการแสดงกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละภาค
ฝ่ายวิชาการ
โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)