วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลากหลาย....เรียนรู้..... จากการดูงาน

ยุคแห่งการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่ 2 นี้นับว่า เป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้คณะครูของเรามีความกระตือรือร้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร กรพัฒนาวิชาชีพให้กับตนเองพร้อมทั้งมาตรฐานและคุณภาพของผู้เรียนนั้นสำคัญที่สุด
การศึกษาดูงานที่ผ่านมาฝ่ายวิชาการของโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมคณะครูให้มีความรู้ ค้นคว้าข้อมูลที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาผู้เรียนนำแบบอย่างที่บูรณาการกับบริบทของสถานศึกษาและความเป็นตัวตนของตนเองจัดกิจกรรมให้กับผู้เรียนนำมาซึ่งการพัฒนาสถานศึกษาโดยภาพรวมเช่นกัน
การศึกษาดูงานในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 จัดโดยโรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) เป็นส่วนหนึ่งที่นำความรู้มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องของความพอเพียงและแนวคิดต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางคณะครูมีความอบอุ่นในการต้อนรับจากข้าราชการในสำนักพระราชวังและในโครงการอย่างดีมากเป็นที่ประทับใจของคณะครูเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เราได้นำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคือ
นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกิจกรรมบูรณาการในหน่วยการเรียนรู้ ตามหลักสูตรสถานศึกษาพุทธศักราช 2551 ของโรงเรียนในทุกกลุ่มสาระ
การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน 2552 (ร.ร.บ้านห้วยไร่สามัคคี/ร.ร.บ้านขาแหย่ง/ร.ร.อนุบาลแม่ฟ้าหลวง อ. แม่ฟ้าหลวง จ. เชียงใหม่)
คณะครูระดับปฐมวัยถือเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัย ทางโรงเรียนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีโอกาสนี้โดยหนังสือศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษาเมืองพัทยา ดูงานในโครงการพระราชดำริ ดอยตุง ในด้านการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมบูรณาการที่มีการกำหนดสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งการจัดทำแผนการจัดแบBackward Design และการจัดหลักสูตรสถานศึกษาตามความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่นอย่างชัดเจน ตามบริบทของดอยตุง โดยมีนักเรียนเป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างกลมกลืน พร้อมทั้งนักเรียนมีความรู้ความสามารถในด้านงานอาชีพสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมแสดงผลงานและนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

การศึกษาดูงานของคณะผู้บริหารและคณะครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นับว่าเป็นความรู้และประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการศึกษาด้านความเป็นอยู่ศิลปวัฒนธรรมในแถบลุ่มแม่น้ำโขงที่ได้รับประสบการณ์ตรงสามารถนำมาปรับใช้ในการจัดกิจกรรมเช่น การแสดงและวิถีชีวิตที่จะเผยแพร่ให้กับเพื่อนครูและนักเรียนได้เป็นอย่างดี
นับว่าการศึกษาดูงานถ้ามองลึกถึงแก่นแท้ของวัตถุประสงค์แล้วอะไรเทียบเท่ากับการมีประสบการณ์ตรงนั้นคงไม่มีอีกแล้ว ผู้เขียนคิดว่าประสบการณ์คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะนำมาพัฒนาตนเองให้เกิดสิ่งที่ดีต่อสถานศึกษา ผู้เรียน เพราะฉะนั้นจึงฝากข้อคิดแด่เพื่อนครูทุกท่านว่าประสบการณ์จากการศึกษาดูงานที่เราได้รับโอกาสนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก....ขอขอบคุณสำนักการศึกษาเมืองพัทยาและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่เห็นความสำคัญและมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญและกำลังใจให้กับคุณครูของเรา




การศึกษาดูงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นครั้งที่ 2 เมืองทองธานี วันที่ 23 สิงหาคม 2552 คณะครูได้มีประสบการณ์เห็นความก้าวหน้าด้านผลงานและคุณภาพที่ได้มาตรฐานของผู้เรียนในหน่วยงานเดียวกันที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่งนำแนวทางมาพัฒนาตนเองและผู้เรียนให้ทันต่อการพัฒนาการศึกษาที่ก้าวไกลของหน่วยงานองค์กรปกครองท้องถิ่นของเราสิ่งที่น่าสนใจคือการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน ผลงานของผู้เรียน ความสามารถในการแสดงกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละภาค

ฝ่ายวิชาการ
โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ชื่อเรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ผู้รายงาน นายนพดล เกตุมา












บทคัดย่อ

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างวิธีสอนโดยใช้ชุดฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์กับวิธีสอนตามปกติกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ปีการศึกษา 2551 จำนวน 2 ห้อง ห้องละ 45 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีจับฉลาก จากนั้นจับฉลากอีกครั้งเพื่อแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย ชุดฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 6 ชุด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง .44-.81 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .20 ขึ้นไป ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ .87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Paired-Samples T-test)
ผลการศึกษา พบว่า
1. ชุดฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80
2. นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนโดยใช้ชุดฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาบทประยุกต์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วย
วิธีสอนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รายงานการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ชื่อผู้ศึกษา นางสาวเยาวรัตน์ รัตนเหลี่ยม











บทคัดย่อ

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/ 80 รวมถึงศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียนหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และหาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จํานวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าประกอบด้วย 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย 2) แบบทดสอบในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ย่อย 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 83.19/ 83.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/ 80 และนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก

การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ท้องถิ่นของเรา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

ชื่อเรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ท้องถิ่นของเรา กลุ่มสาระการเรียนรู้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ชื่อผู้ศึกษา นางสาววรีพร จั่นเพ็ชร์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีการศึกษา 2551




บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ท้องถิ่นของเรา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/ 80 เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้โปรแกรม E-BOOK อัจฉริยะ Flip Album Vista Pro โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ให้นักเรียนเรียนจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยให้นักเรียนใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากเรียนจบแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้คือ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 3 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบง่าย (simple random sampling) โดยวิธีจับฉลาก จํานวน 40 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าเฉลี่ย
ผลของการศึกษาพบว่า บทเรียนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 85.37/ 86.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/ 80 ที่ตั้งไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยบทเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 นอกจากนี้แล้วจากการวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้ใช้บทเรียนอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ( = 4.52) สรุปได้ว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ท้องถิ่นของเรา ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นโดยใช้โปรแกรม E-BOOK อัจฉริยะ(Flip Album Vista Pro) สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมได้

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

รายงานการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

รายงานการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ลัดดา ศรีนาค










บทคัดย่อ

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/ 80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนแลหลังเรียน และศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องวลีและประโยค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 2 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 48 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 6 หน่วยการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบอิงเกณฑ์ ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง .20-.80 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .20 ขึ้นไป และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 แบบฝึกหัดท้ายบทเรียน 6 หน่วย หน่วยละ 10 ข้อ รวม 60 ข้อ ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples)
ผลการศึกษา พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 83.65/ 82.78 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/ 80 มีค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับ .68 หรือคิดเป็นร้อยละ 68 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด
โดยสรุป บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องวลีและประโยค สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ช่วยให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียน เหมาะสมที่จะนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องวลีและประโยคในระดับประถมศึกษาได้

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การพัฒนาชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ชื่อเรื่อง : การพัฒนาชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
ผู้รายงาน : นางอมรรัตน์ บุญเนียม











บทคัดย่อ

การจัดทำผลงานวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้เป็นเครื่องมือสำหรับ การแก้ปัญหาการอ่าน การเขียนประสมคำด้วย สระแ – ะ สระเ – าะ สระเ – า สระเ – อ สระเ –ี ย และสระเ –ื อ (2) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการพัฒนา การอ่าน-เขียน ด้วยชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียน เมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 40 คน โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย ชุดฝึกทักษะจำนวน 6 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้ประกอบชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง .31 – .72 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ .81 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test)
ผลการพัฒนาพบว่า
1. ชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้รายงานได้สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 80.88/84.63 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ค่าความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) โดยใช้ชุดฝึกทักษะสระพาเพลิน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

การพัฒนาชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้น




ชื่อเรื่อง : การพัฒนาชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 1
ผู้รายงาน : นางพัชรีกรณ์ ธรสินธุ์













บทคัดย่อ
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการสอนการเขียนภาษาไทย เชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑมาตรฐาน 80/ 80 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน เมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จํานวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้การเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ชุดการสอนการเขียนภาษาไทย เชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แบบฝึกหัดการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ในแต่ละชุดการสอน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples)
ผลการศึกษา พบว่า
1. ชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 83.08/ 82.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เท่ากับ .66 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็น
ร้อยละ 66 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ มีผลสัมฤทธิ์ด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน


ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน
สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3


ผู้รายงาน นางอังคณา กุลชล

บทคัดย่อ

การจัดทำผลงานวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน-เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (2) พัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (3) ศึกษาผลการประเมินและปรับปรุงแก้ไขแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 / 6 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 40 คน โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การพัฒนาได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 4 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผล การเรียนรู้การอ่านจับใจความที่ใช้ประกอบแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมี ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.45 ถึง 0.68 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.45 ถึง 0.78 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.90 และ (3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนโดยใช้คำถามแบบมาตราส่วนประเมินค่า 3 ระดับ แบบแผน การพัฒนาเป็นแบบ Pre Experimental Designs แบบ One Group Pretest Posttest Design วิเคราะห์ข้อมูลโดย การหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การหาค่า t – test Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการพัฒนาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.35 / 83.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80 / 80 ที่กำหนดไว้
2. ผลการเรียนรู้ด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสื่อการคิดวิเคราะห์อ่าน - เขียน สาระ การเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

ชื่อเรื่อง : การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้รายงาน : นางลักขณา สมโชคณภากร

บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้ไขโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้ไขโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาดัชนี ประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) สังกัดสำนักการศึกษาเมืองพัทยา จำนวน 42 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาประกอบด้วย (1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบทดสอบย่อย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ร้อยละ การหาประสิทธิภาพของแบบฝึก(E1/E2) ค่าดัชนีมีประสิทธิผล และการทดสอบค่าที (t-test)
ผลการพัฒนาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้รายงาน ได้สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 84.95/82.30 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ .70 หรือร้อยละ 70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของค่าดัชนีประสิทธิผล คือ .50 หรือร้อยละ 50 นั่นคือ นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ 70
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย



ชื่อรายงาน : รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย
ในการสอนซ่อมเสริม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ชื่อผู้วิจัย นางสุนี สุภาพันธุ์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์)
ปีการศึกษา 2551

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย ในการสอนซ่อมเสริม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 กลุ่มสารการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำก่อนและหลัง (Pre - Test และ Post - Test) การทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทายในการสอนซ่อมเสริม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในการทดลองครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้นักเรียนกลุ่มประชากร จำนวน 1 ห้องเรียน คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 จำนวนทั้งหมด 38 คน และทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยคัดเลือกมาจากนักเรียนที่ทดสอบการเขียนสะกดคำไม่ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 70 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวน 20 คน มาทำการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 3 คาบ (คาบละ 20 นาที) รวมทั้งสิ้น 30 คาบ จำนวน 10 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลาในการทดลองทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ระหว่างเวลา 15.00 น. – 16.00 น. สำหรับแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 และ 12 จะเป็นการทบทวนเนื้อหาที่ได้ฝึก ไปแล้ว (ไม่นำคะแนนมาคิดค่าทางสถิติ) รวมทั้งสิ้น 12 แผนการจัดการเรียนรู้ โดยจะใช้เวลา ในสัปดาห์ถัดไป ระหว่างเวลา 15.00 น. – 16.00 น.ในการดำเนินการทดลองนี้ จะมีการทดสอบ ก่อนเรียน (Pre - Test) และทดสอบหลังเรียน (Post – Test) เพื่อเปรียบเทียบผลคะแนนโดยใช้สถิติทดสอบ คือ T – Test Independent ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนา คำทาย ในการสอนซ่อมเสริม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีคุณภาพ 85.54/84.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย ในการสอนซ่อมเสริม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 มีผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้ปริศนาคำทาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

รายงานการพัฒนาและการใช้ชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด

ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาและการใช้ชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด
การชั่ง การตวง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้รายงาน นางไพบูลย์ ชาญชัย

บทคัดย่อ

รายงานการพัฒนาชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด การชั่ง การตวง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด การชั่ง การตวง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวัด การชั่ง การตวง ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอน ระหว่างก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนเมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ประกอบด้วย ชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด การชั่ง การตวง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 ชุด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 25 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ร้อยละ การหาประสิทธิภาพของชุดการสอน (E1/ E2 ) และการทดสอบที (t-test)
ผลการพัฒนาพบว่า
1. ชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การวัด การชั่ง การตวง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้รายงานได้สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.50 / 83.60 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน

รายงานการสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพชุดการสอน เรื่อง เรื่อง ท่ารำฟ้อนละครพื้นบ้าน


บทคัดย่อ

ชื่อเรื่อง
รายงานการสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพชุดการสอน เรื่อง เรื่อง ท่ารำฟ้อนละครพื้นบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ผู้ศึกษา นางนิตยา เบิร์ก
ปีที่ศึกษา 2551


การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดการสอน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80, 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการสอน, 3) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของ ชุดการสอน, 4) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอน ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน เมืองพัทยา 9 (วัดโพธิสัมพันธ์) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังกัดสำนักการศึกษา เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน 6 ห้องเรียน รวม 257 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างได้ 178 คน จำนวน 6 ห้องเรียน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 ในเวลาทำการเรียนการสอนปกติ 22 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามี 1) แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน 9 ฉบับ, 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 ฉบับ, 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดการสอน, 4) แบบประเมินชุดการสอน, 5) ชุดการสอน เรื่อง ท่ารำฟ้อน ละครพื้นบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 9 ชุด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t-test dependent ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. ชุดการสอนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.40/89.78 แสดงว่าชุดการสอน มีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการสอนที่สร้างขึ้นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก (ค่าเฉลี่ย 4.356)